
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยในกิจการทหารมาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ พระบรมชนกนาถมีพระราชดำริว่าการศึกษาวิชาทหารที่ประเทศออสเตรเลีย มีหลักสูตรการสอนกว้างขวางและมีการฝึกที่เข้มงวด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ส่งพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ไปทรงศึกษาวิชาทหาร ณ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อเดือนสิงหาคม พุทธศักราช 2513 แรกเริ่มนั้นทรงเข้าศึกษา ณ โรงเรียนเตรียมทหารคิงส์สกูล นครซิดนีย์ หลังจากนั้นจึงทรงเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน กรุงแคนเบอร์รา หากก่อนที่จะทรงเข้าศึกษาในวิทยาลัยแห่งนี้ได้ จะต้องทรงผ่านการทดสอบและการฝึกอย่างหนักที่สุด กินเวลานานถึง 5 สัปดาห์

บรรดานักเรียนนายร้อยดันทรูนเรียกขานช่วงเวลานั้นว่า “สัปดาห์นรก” หลายคนไม่อาจทนความยากลำบากในการฝึกได้ ก็จำต้องยุติการฝึกและไม่สามารถผ่านเข้าเรียนต่อได้ หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวิริยะอุตสาหะเต็มพระกำลังจนในที่สุดก็ทรงผ่านเข้าศึกษาในวิทยาลัยการทหารดันทรูนได้ และทรงเข้าประจำเหล่านักเรียนนายร้อยตั้งแต่ภาคการศึกษาแรกเมื่อ พุทธศักราช 2515

ขณะทรงศึกษาวิชาทหารที่ต่างแดนนั้น ทรงเอาพระทัยใส่การเรียนมาก ดังปรากฏว่าทรงปรารภกับผู้ใกล้ชิดเสมอ ๆ ว่า พระองค์ไม่เก่ง และทรงทำอะไร “เชย ๆ” ในตอนแรก ด้วยทรงไม่คุ้นกับสำเนียงของครูฝึกชาวออสเตรเลีย บางครั้งเขาสั่งให้วิ่งหรือชิดแถว พระองค์ก็กลับทรงยืนเฉย เพราะไม่เข้าพระทัยคำสั่ง เมื่อรู้สึกพระองค์เช่นนี้จึงได้ทรงตั้งพระทัยฟัง และทรงอุตสาหะมากขึ้น ประทับทอดพระเนตรหนังสืออยู่ในห้องสมุดจนดึกเสมอ ๆ
หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว ก็เสด็จนิวัตประเทศไทย และทรงรับราชการทหารมาโดยตลอด ทรงดำรงพระยศทางทหารของ 3 เหล่าทัพ คือ พลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก และได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้านการทหาร โดยทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้ายในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ครอบคลุมพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัด ได้แก่ อำเภอหล่มสักและอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ พื้นที่อำเภอด่านซ้ายและอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย และพื้นที่อำเภอนครไทยและอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อ พ.ศ. 2519
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่คนไทยไม่อาจลืม คือ สมรภูมิบ้านหมากแข้ง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นหมู่บ้านที่โดนผู้ก่อการร้ายโจมตีอย่างหนักเพราะไม่เข้าร่วมกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่และประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก แม้แต่เฮลิคอปเตอร์ก็ถูกยิงตกทับบ้านเรือนชาวบ้านพังเสียหาย ชาวบ้านต้องอพยพหนีภัยการสู้รบ หากในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น ร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์ไปยังฐานปฏิบัติการบ้านหมากแข้งอย่างเร่งด่วน ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2519 ทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการออกลาดตระเวนด้วยพระองค์เอง ทรงให้คำแนะนำแก่ทหารถึงยุทธวิธีต่าง ๆ ทั้งการวางกำลัง การจัดฐาน การกำหนดมุมยิงของปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิด และในระหว่างนั้น ผู้ก่อการร้ายก็ได้ระดมยิงมายังชุดปฏิบัติการของพระองค์ แต่ก็มิได้ทรงหวั่นไหว มีพระสติมั่นคง ทรงสั่งทหารดำเนินกลยุทธ์ยิงโต้ตอบจนกระทั่งผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ล่าถอยไป แม้จะเป็นพระราชภารกิจที่เสี่ยงอันตราย แต่เพื่อความผาสุกของประชาชนผู้ตกอยู่ในความเดือดร้อน ก็ทรงเร่งปฏิบัติพระราชภารกิจนั้นอย่างเต็มพระกำลัง
หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว ก็เสด็จนิวัตประเทศไทย และทรงรับราชการทหารมาโดยตลอด ทรงดำรงพระยศทางทหารของ 3 เหล่าทัพ คือ พลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก และได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้านการทหาร โดยทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้ายในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ครอบคลุมพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัด ได้แก่ อำเภอหล่มสักและอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ พื้นที่อำเภอด่านซ้ายและอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย และพื้นที่อำเภอนครไทยและอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อ พ.ศ. 2519
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่คนไทยไม่อาจลืม คือ สมรภูมิบ้านหมากแข้ง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นหมู่บ้านที่โดนผู้ก่อการร้ายโจมตีอย่างหนักเพราะไม่เข้าร่วมกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่และประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก แม้แต่เฮลิคอปเตอร์ก็ถูกยิงตกทับบ้านเรือนชาวบ้านพังเสียหาย ชาวบ้านต้องอพยพหนีภัยการสู้รบ หากในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น ร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์ไปยังฐานปฏิบัติการบ้านหมากแข้งอย่างเร่งด่วน ในวันที่ 5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2519 ทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการออกลาดตระเวนด้วยพระองค์เอง ทรงให้คำแนะนำแก่ทหารถึงยุทธวิธีต่าง ๆ ทั้งการวางกำลัง การจัดฐาน การกำหนดมุมยิงของปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิด และในระหว่างนั้น ผู้ก่อการร้ายก็ได้ระดมยิงมายังชุดปฏิบัติการของพระองค์ แต่ก็มิได้ทรงหวั่นไหว มีพระสติมั่นคง ทรงสั่งทหารดำเนินกลยุทธ์ยิงโต้ตอบจนกระทั่งผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ล่าถอยไป แม้จะเป็นพระราชภารกิจที่เสี่ยงอันตราย แต่เพื่อความผาสุกของประชาชนผู้ตกอยู่ในความเดือดร้อน ก็ทรงเร่งปฏิบัติพระราชภารกิจนั้นอย่างเต็มพระกำลัง

อากาศยานและวิทยาการด้านการบินก็เป็นอีกหนึ่งด้านที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงเข้ารับการฝึกหัดและทรงศึกษาหลักสูตรด้านการบินมากมาย อาทิ อากาศยานแบบปีกหมุน (เฮลิคอปเตอร์) เครื่องบินใบพัด เครื่องบินไอพ่นสมรรถนะสูง เครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง ทั้งยังทรงปฏิบัติหน้าที่ครูการบินเครื่องบินขับไล่แก่นักบินขับไล่ของกองทัพอากาศ ทรงพระปรีชาในด้านนี้อย่างยิ่งยวดและมีจำนวนชั่วโมงฝึกบินอย่างต่อเนื่องสูงมาก นอกจากนั้น ยังทรงศึกษาหลักสูตรนักบินพาณิชย์จากสถาบันการบินพลเรือน ทรงสอบได้ใบอนุญาตนักบินพาณิชย์ตรี และต่อมาในพุทธศักราช 2547 ได้ทรงเข้าศึกษาหลักสูตรการบินในฐานะนักบินโบอิง 737-400 จากบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ทรงได้รับใบอนุญาตนักบินพาณิชย์เอก และในพุทธศักราช 2548 ก็ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรกัปตันจากบริษัทการบินไทย และทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายตำแหน่งนักบินที่ 1 เมื่อพุทธศักราช 2549
เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศลเพื่อช่วยเหลือพสกนิกร พระราชทานเงินบริจาคโดยไม่หักค่าใช้จ่าย และทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นนักบินที่ 1 ในเที่ยวบินมหากุศลทั้ง 3 ครั้ง ได้แก่ เที่ยวบินครั้งที่ 1 “สายใยรักแห่งครอบครัว” เมื่อพุทธศักราช 2550 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและจัดหาอุปกรณ์ด้านการแพทย์สำหรับโรงพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ รวมยอดบริจาค 80 ล้านบาท เที่ยวบินครั้งที่ 2 เมื่อพุทธศักราช 2553 เส้นทางบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-อินเดีย ทรงนำคณะพุทธศาสนิกชนจำนวน 123 คน กราบสักการะพระพุทธสังเวชนียสถาน ณ ตำบลพุทธคยา รวมยอดบริจาค 50.5 ล้านบาท นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย และสมทบทุนมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) และสมทบกองทุนพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เพื่อผู้ประสบภัยพิบัติ และเที่ยวบินครั้งที่ 3 เมื่อพุทธศักราช 2555 ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ครบ 5 รอบ เส้นทางบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ขอนแก่น ทรงนำคณะพุทธศาสนิกชนเดินทางกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดป่าวิเวกธรรม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น รายได้ทั้งหมดนำสมทบมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.)
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านการทหาร อากาศยานและการบินนานัปการ ด้วยมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนได้รับความผาสุกและมั่นคงในชีวิตเสมอไป
เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดเที่ยวบินพิเศษมหากุศลเพื่อช่วยเหลือพสกนิกร พระราชทานเงินบริจาคโดยไม่หักค่าใช้จ่าย และทรงปฏิบัติหน้าที่เป็นนักบินที่ 1 ในเที่ยวบินมหากุศลทั้ง 3 ครั้ง ได้แก่ เที่ยวบินครั้งที่ 1 “สายใยรักแห่งครอบครัว” เมื่อพุทธศักราช 2550 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและจัดหาอุปกรณ์ด้านการแพทย์สำหรับโรงพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ รวมยอดบริจาค 80 ล้านบาท เที่ยวบินครั้งที่ 2 เมื่อพุทธศักราช 2553 เส้นทางบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-อินเดีย ทรงนำคณะพุทธศาสนิกชนจำนวน 123 คน กราบสักการะพระพุทธสังเวชนียสถาน ณ ตำบลพุทธคยา รวมยอดบริจาค 50.5 ล้านบาท นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย และสมทบทุนมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) และสมทบกองทุนพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เพื่อผู้ประสบภัยพิบัติ และเที่ยวบินครั้งที่ 3 เมื่อพุทธศักราช 2555 ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ครบ 5 รอบ เส้นทางบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ขอนแก่น ทรงนำคณะพุทธศาสนิกชนเดินทางกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดป่าวิเวกธรรม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น รายได้ทั้งหมดนำสมทบมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.)
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านการทหาร อากาศยานและการบินนานัปการ ด้วยมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนได้รับความผาสุกและมั่นคงในชีวิตเสมอไป
[1] สถาพรบุ๊คส์, ฝ่ายวิชาการ. ทศมินทรราชา มหาวชิราลงกรณ: วีรกษัตริย์นักการ. 2562.
[2] สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ กษัตริย์นักการทหาร. มติชน. 2 ธันวาคม 2559. เข้าถึงได้จาก: https://www.thaipbs.or.th/news/content/258339
[3] สมเด็จพระบรมฯ ทรงเป็น ‘เจ้าฟ้านักบิน’ พระผู้บำบัดทุกข์-บำรุงสุข. มติชน. 1 ธันวาคม 2559. เข้าถึงได้จาก: https://www.matichon.co.th/court-news/news_379340
[2] สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ กษัตริย์นักการทหาร. มติชน. 2 ธันวาคม 2559. เข้าถึงได้จาก: https://www.thaipbs.or.th/news/content/258339
[3] สมเด็จพระบรมฯ ทรงเป็น ‘เจ้าฟ้านักบิน’ พระผู้บำบัดทุกข์-บำรุงสุข. มติชน. 1 ธันวาคม 2559. เข้าถึงได้จาก: https://www.matichon.co.th/court-news/news_379340